เวทีประชาคมครั้งที่ 3 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555 ระหว่างเวลา 18.00 - 21.00 น. ณ ศาลาเทพประชานุสรณ์ วัดหัวเวียงใต้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
(1) นำเสนอแผนพัฒนาและรูปแบบผังทางด้านกายภาพที่มีรายละเอียดโครงการซึ่งพร้อมจะนำไปสู่การปฎิบัติ
(2) หาแนวทางในการผลักดัน แผน ผัง และรูปแบบสำหรับการพัฒนาพื้นที่ไปดำเนินการจัดทำร่วมกันให้เกิดเป็นรูปธรรม
ผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วยภาคี 4 ภาคส่วนทั้งในพื้นที่และภายนอก ได้แก่ ตัวแทนภาคราชการ องค์กรส่วนท้องถิ่น ภาคธุรกิจเอกชน นักวิชาการท้องถิ่น ภาคประชาสังคม/องค์กรพัฒนาเอกชน ภาคสื่อมวลชน ชาวชุมชนย่านหัวเวียงใต้ และการเคหะแห่งชาติ รวมทั้งเชิญชวน ผู้พักอาศัยย่านหัวเวียงใต้ ประชาชนผู้สนใจทั่วไป ผ่านผู้นำชุมชน และสื่อวิทยุท้องถิ่น/ชุมชน รวมประมาณ 80 คน มีการจัดแสดงนิทรรศการและฉายวีดิทัศน์ความเคลื่อนไหวของโครงการที่ผ่านมาให้ผู้เข้าร่วมเวทีประชาคมได้ชม ในช่วงการเตรียมการจัดเวทีประชาคมครั้งที่ 3 คณะผู้วิจัยได้หารือแนวทางการจัดดำเนินการร่วมกับหัวหน้าบ้านชุมชนหัวเวียงใต้ นายบุญโชติ สลีอ่อน และคณะกรรมการพัฒนาชุมชนหัวเวียงใต้ซึ่งเป็นตัวแทนจากทุกค้อ รวม 25 ท่าน เพื่อให้ชุมชนแสดงบทบาทการเป็นเจ้าภาพและร่วมดำเนินงานมากขึ้น
นายบุญยัง เรือนกุล นายอำเภอเมืองน่าน |
นางสุวมา เนาว์สูงเนิน ผู้อำนวยการกองปฏิบัติการทางสังคม ฝ่ายการฟื้นฟูและพัฒนาเมือง |
1. แผนงานรูปแบบรายละเอียดวัสดุ สถานที่
2. การจัดบริหารจัดการ: จัดตั้งกลุ่มกรรมการในชุมชน ใคร ทำอะไร และกำหนดผู้รับผิดชอบในแต่ละโครงการ/กิจกรรม
3. การดำเนินงานก่อสร้าง: ออกแบบ เขียนแบบ ประมาณราคา จัดซื้อ จัดจ้าง การควบคุมงาน
4. การตรวจรับงาน
ในงานการออกแบบและปรับปรุงกายภาพ ได้ระบุแผนงานที่จะนำไปสู่ขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างให้ปรากฏเป็นรูปธรรมก่อนสิ้นสุดโครงการ
มีพื้นที่ค้อกลางเป็นพื้นที่นำร่อง ซึ่งได้จากการทำเวทีประชาคมที่ผ่ามมา 2 ครั้ง
และจากการรับฟังข้อหารือจากภาคีทุกภาคส่วนในการเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงทางด้านกายภาพ
และแนวทางแก้ไขปัญหาแผ่นดินไหว อัคคีภัย ถนนซอยขนาดเล็ก
รวมทั้งการเตรียมป้องกันการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพอื่นที่จะส่งผลกระทบต่อเมือง โดยบูรณาการแผนงานงานร่วมกับภาครัฐและท้องถิ่น
อาทิ เทศบาลเมืองน่าน พาณิชย์จังหวัดน่าน ประกอบแผนงาน 7 รายการ
ดังนี้
1.
งานปรับปรุงรูปแบบ (ทาสี )
เรือนร้านค้า อาคารพาณิชย์2. งานปูวัสดุผิวถนนซอยชุมชนค้อกลาง
3. งานปรับปรุงภูมิทัศน์และงานรั้วสีเขียว
4. งานป้ายประวัติศาสตร์ชุมชน
5. งานปรับปรุงทางเดินเท้าหน้าวัดหัวเวียงใต้-ถนนซอย
6. งานกระถางไม้ประดับ
7. งานผ้าใบบังแดดอาคาร
สำหรับในครั้งนี้
คณะวิจัยต้องการให้ที่ประชุมพิจารณารายละเอียดแผนงาน 4 รายการ ในลำดับที่ 1- 4 และหาแนวทางในการบริหารจัดการดำเนินงานให้ยั่งยืน
โดยแผนงานทั้ง 4 มี มทร.ล้านนารับผิดชอบเป็นผู้ออกแบบ
จัดซื้อ จัดจ้าง
และจะประสานความร่วมมือในการดำเนินงานกับคณะกรรมการพัฒนาชุมชนหัวเวียงใต้
คาดหวังว่าความสำเร็จของโครงการนี้จะนำไปเป็นแบบอย่างเพื่อให้พื้นที่อื่นได้เรียนรู้ดูงานต่อไป
ส่วนการบูรณาการแผนงานร่วมกับท้องถิ่นจะร่วมกับเทศบาลเมืองน่านดำเนินการตามแผนงานงานปรับปรุงทางเดินเท้าหน้าวัดหัวเวียงใต้-ถนนซอย
(รายการที่ 5) โดย นายสุรพล
เธียรสูตร นายกเทศมนตรีเมืองน่าน แสดงความเห็นว่าจะมีส่วนช่วยให้เกิดการรักษาตัวตนและความเป็นเมืองเก่าให้มีชีวิต
และสร้างความภาคภูมิใจให้เกิดแก่ชาวน่าน
จึงเห็นควรว่าจะขอรับไปทำความเข้าใจกับสมาชิกสภาเทศบาลเมืองน่าน
เพื่อพิจารณาขอจัดสรรงบประมาณปี 2556 ต่อไป ส่วนการร่วมกับหน่วยราชการจะร่วมกับพาณิชย์จังหวัดและตัวแทนผู้ประกอบการย่านถนนสุมนเทวราชในงานกระถางไม้ประดับ และงานผ้าใบบังแดดอาคาร
(รายการที่ 6-7) โดย นายภาณุ ขันธ์แก้ว พาณิชย์จังหวัดน่าน
ได้จัดสรรงบประมาณสนับสนุน จำนวน 500,000 บาท ไว้รองรับ
และมีความเห็นว่าแบบอาคารย่านหัวเวียงใต้ไม่ควรจะอนุญาตให้มีการก่อสร้างที่ทำให้เกิดทัศนอุจาด
ทั้งนี้
ตามแนวทางการชี้แนะของบท่านผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ
ซึ่งมีความเห็นว่าชุมชนต้องชัดเจนเรื่องกรอบคิดการพัฒนาเมืองเพื่อให้การทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ซึ่งจะทำให้ลดปัญหาข้อขัดแย้งในการของบประมาณ ในที่ประชุมกลุ่มย่อยเพิ่มเติมระหว่างคณะผู้วิจัยร่วมกับการเคหะแห่งชาติ
ตัวแทนภาครัฐ ชุมชน เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
นอกจากนี้
นายกนกศักดิ์ กองสาสนะ
ตัวแทนคณะกรรมการพัฒนาชุมชนหัวเวียงใต้ ได้บอกเล่าแนวทางการบริหารจัดการซึ่งขณะนี้มีการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาชุมชนหัวเวียงใต้ที่มีความเข้มแข็งจำนวน 25 ท่าน ทำหน้าที่ช่วยกลั่นกรองแผนงาน การดำเนินการต่อจากคณะวิจัย
โดยเฉพาะแผนงานรายการที่ 1- 4 ของ มทร.ล้านนา
ที่จะดำเนินงานลงมือทำในขั้นตอนต่อไปให้เห็นเป็นรูปธรรม
ในช่วงท้ายของการประชุมได้เปิดพื้นที่ให้ตัวแทนภาคประชาสังคม
นักวิชาการท้องถิ่น ภาครัฐ
เจ้าอาวาสวัดหัวเวียงใต้ได้แสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการขั้นต่อไปรวมทั้งต่อการพัฒนาเมืองน่านโดยรวม
สรุปประเด็นสำคัญดังนี้
·
ศักยภาพ ความเข้มแข็งของชาวน่าน
เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้การเคหะแห่งชาติเข้ามาผลักดันต่อยอดแผนการดำเนินงานจากแผนงานเดิมให้เกิดความต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม
แต่สิ่งสำคัญคือชุมชนควรลงมือทำด้วยตัวเองในทันทีบนฐาน “ความเป็นคนน่าน”
ซึ่งเราต้องช่วยกันหาว่าสิ่งนี้คืออะไร มีความแตกต่างที่ไม่เหมือนที่อื่นอย่างไร
เพื่อให้เกิดความยั่งยืน
·
บทบาทของคณะกรรมการพัฒนาชุมชนฯ
ต่อจากนี้ไปต้องทำงานหนักเพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจนที่จะดำเนินการให้ถูกเวลา
ถูกสถานที่ ถูกเรื่อง ซึ่งหมายถึงการทำให้เกิดการใช้งบประมาณที่สมประโยชน์ ทั้งพื้นที่ถนนสุมนเทวราชและพื้นที่ซอยตามที่นักวิชาการได้นำเสนอ
ดังนั้น คณะกรรมการพัฒนาชุมชนฯ ต้องสร้างความเป็นเอกภาพ
และให้ชุมชนมีความตระหนักและสำนึกเห็นความสำคัญของบ้านเก่า คือให้เกิดการรู้
เข้าใจ เชื่อ และศรัทธา และลงมือทำทันทีอย่างต่อเนื่อง
·
ภาระกิจอื่นของคณะกรรมการพัฒนาชุมชนฯ
ที่ต้องดำเนินงานต่อไปมีอีกมากมายทั้งเรื่อง
การปรับปรุงภูมิทัศน์ของวัดหัวเวียงใต้ การจัดทำพิพิธภัณฑ์ของเก่าในวัดหัวเวียงใต้
·
ถนนคนเดินเป็นการจัดงานเพื่อสร้างจุดขายแก่เมืองด้านการท่องเที่ยว
และยังสามารถเป็นสถานที่พักผ่อนแก่ชาวเมือง แต่การดำเนินการควรจัดให้เป็นมาตราฐาน
มีความแน่นอนชัดเจน และมาจากการหารือร่วมกันของทุกฝ่าย
ไม่สร้างความสับสนในการสื่อสารประชาสัมพันธ์ เพราะต้องมีความแน่นอน ชัดเจน
ที่สำคัญควรมีการสรุปบทเรียน (AAR) ทันทีหลังเสร็จกิจกรรม
เพื่อนำมาปรับปรุงงานให้ดีขึ้น และมีกระบวนการติดตามประเมินผลการทำงานทั้งโดยคนในและคนนอกพื้นที่
·
ประเด็นการเป็นเมืองมรดกโลกของเมืองน่านอาจกลายเป็นเรื่องน่าวิตก
หากการเป็นมรดกโลกมีระเบียบ
ข้อจำกัดที่กระทบต่อวิถีชีวิตของคนมากกว่าการเป็นเมืองเก่าที่มีความยืดหยุ่นและทำให้คนเมืองอยู่ได้อย่างสบายใจ
·
สิ่งที่เรากำลังทำขณะนี้อยู่ภายใต้กรอบนโยบายใหญ่
ทั้งเรื่องความเป็นมรดกโลก เมืองเก่า งานวิจัยครั้งนี้จึงไม่ได้จบที่แผนงาน
แต่จบที่การปฎิบัติการ การทำให้เกิดสิ่งใหม่ต้องทำให้สอดคล้องกับความเป็นมรดกโลก
เชื่อมโยงกับกระแสโลก ซึ่งปัจจุบันให้ความสำคัญใน 2 เรื่องคือ
เอกลักษณ์ (Identity) และ ความหลากหลาย (Diversity) ความเป็นของแท้
ซึ่งในการดำเนินงานต้องบูรณาการการทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิดความสอดคล้อง
และเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
โดยสรุป
ตัวแทนแต่ละภาคส่วนมีความภาคภูมิใจในต้นทุนความเป็นย่านการค้าเก่าแก่ของถนนสุมนเทวราช
เพราะเป็นแหล่งมรดกทางวัฒนธรรที่มีสถานที่ที่มีคุณค่าหลายแห่ง ทั้งชาวจีน เวียดนาม
ม่าน และคนเมือง
ที่เคยเข้ามาค้าขายซึ่งสมควรนำเรื่องราวคำบอกเล่าในการสร้างบ้านแปงเมืองที่มีคุณค่ามาเรียงร้อยให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงสิ่งที่มีในอดีต ประกอบกับความเข้มแข็งของชุมชนที่มีอยู่เดิม
ขณะเดียวกันมีองค์กรเอกชนและภาคประชาสังคมที่ยื่นความจำนงเข้ามาช่วยเหลือและยินดีให้ความร่วมมือในการทำงาน
แต่หัวใจสำคัญยังขึ้นกับชุมชนว่าจะมีความเข้มแข็งและดำเนินการต่ออย่างยั่งยืนหรือไม่เพียงใด
โดยแนวร่วมที่เป็นเยาวชนเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ควรชักชวนมาเข้าร่วมให้มากขึ้น
บทเรียนและข้อเสนอแนะจากการประชุม
1.
คณะกรรมการพัฒนาชุมชนฯ
จะเข้ามามีบทบาทในขั้นตอนนี้อย่างมาก
ในการผลักดันงานจากระดับล่างขึ้นสู่บนเพื่อให้เกิดการดำเนินงานอย่างยั่งยืน
ซึ่งหัวใจหลักคือการสร้างความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อให้ชุมชนดำเนินการเป็นงานตัวอย่างนำร่อง
2.
การจัดเวทีประชาคมครั้งนี้
คณะผู้วิจัยได้ปรับเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้สนับสนุนและให้คำปรึกษา
เพื่อหวังสร้างความรู้สึกการเป็นเจ้าของงานให้เกิดแก่คนในชุมชน
และเตรียมพร้อมที่จะดำเนินงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย ทำให้ชุมชนและคณะทำงานได้แสดงบทบาทอย่างเต็มที่ในการเชิญชวนผู้เข้าร่วมงาน
สถานที่ ตลอดจนการกำหนดเวลาซึ่งถือว่ามีความเหมาะสมกับวิถีชีวิตของย่านหัวเวียงใต้
แนวทางการจัดประชุมเช่นนี้น่าจะนำมาใช้ให้มากและถี่ขึ้นในโอกาสต่อไป
การผลักดันแผนงานไปสู่รูปธรรมต้องอาศัยระยะเวลาและความร่วมมือจากคนในพื้นที่โดยเฉพาะความพร้อมของผู้นำชุมชนและคณะกรรมการพัฒนาชุมชนหัวเวียงใต้ชุดใหม่
25 ท่าน
ซึ่งเกิดจากการคัดเลือกของคนภายในชุมชนเอง
คณะผู้วิจัยเห็นว่าน่าจะช่วยให้การดำเนินงานมีความก้าวหน้าเป็นรูปธรรมได้มากกว่าคณะกรรมการที่มาจากการสมัครใจซึ่งได้แต่งตั้งมาก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดี พลังของการขับเคลื่อนจะเข้มแข็งต่อเนื่องและยั่งยืนเพียงใดหรือไม่
ขึ้นอยู่กับความเป็นผู้นำและการทำงานร่วมกันเป็นทีม (teamwork) ของคนในชุมชนเป็นสำคัญ